ช่วงฤดูฝนถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องมีความระมัดระวังในการขับรถเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นทัศนวิสัยการมองเห็น ยิ่งฝนตกถนนลื่น ความลำบากในการควบคุมรถยิ่งมากขึ้น สถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบันที่ทำให้ฝนตกหนักมาก มาพร้อมกับสายลมที่รุนแรงฝนที่โหมกระหน่ำหนัก รวมถึงอาจมีน้ำท่วมอีกด้วย ถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ระหว่างขับรถเราจะต้องทำยังไง โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับรถยนต์ควรต้องระวังและใส่ใจมาก เพราะยังมีประสบการณ์และเทคนิคการขับรถน้อย ขอพาทุกคนมาเตรียมความพร้อมและเทคนิคการขับรถตอนฝนตกอย่างถูกวิธีที่จะทำให้การเดินทางของคุณในทุกเส้นทางเต็มไปด้วยการขับขี่ปลอดภัย เพื่อให้คุณสามารถขับรถหน้าฝนได้อย่างมีสติอีกด้วย อะไรบ้างที่ทุกคนต้องรู้ ไปดูเลย
1. ความพร้อมของรถ สิ่งแรกที่จะทำให้การขับรถในช่วงฤดูฝนเกิดความปลอดภัยอย่างสูงที่สุด คือการเตรียมรถของคุณให้พร้อมนั่นเอง ทั้งระบบยาง ระบบเบรครถยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง รวมถึงยางปัดน้ำฝน อุปกรณ์เล็ก ๆ แต่มีผลต่อทัศนวิสัยการมองเห็นของคุณ ดังนั้นก่อนเข้าสู่หน้าฝนแต่ละปี เจ้าของรถควรพารถเข้าเช็คสภาพรถว่ามีอุปกรณ์ส่วนใดชำรุดเสียหายหรือมีสภาพไม่สมบูรณ์ไม่พร้อมต่อการใช้งาน ควรทำการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เหล่านั้นในทันทีเพื่อการขับขี่ปลอดภัย อย่าปล่อยให้เข้าถึงหน้าฝนก่อนแล้วค่อยเปลี่ยน เพราะบางครั้งมันหมายถึงการพารถที่ไม่มีความพร้อมเข้าไปสู่สถานการณ์อันตรายได้นั่นเอง โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับรถยนต์ที่ยังมีประสบการณ์และเทคนิคการควบคุมน้อยอาจเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุได้
2. ตรวจสอบเส้นทางก่อนเดินทาง ก่อนการเดินทางในช่วงฤดูฝน หากเป็นไปได้ควรทำการตรวจสอบเส้นทางก่อนการเดินทางในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมอยู่บ่อย ๆ ว่ามีการจราจรติดขัดในบริเวณนั้นมั้ยหรือกำลังมีฝนตั้งเค้าเข้ามาในพื้นที่หรือเปล่า การติดตามข้อมูลต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดจะทำให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมให้คุณไม่ต้องเสี่ยงขับรถลุยน้ำเมื่อตกหนักมากได้
3. ลดความเร็ว สิ่งแรกที่นักขับรถทุกคนควรทำตอนขับรถท่ามกลางสายฝนคือการลดความเร็วในการเดินทางของคุณลงมา เพราะเมื่อฝนตกในแต่ละครั้งไม่ว่าจะหนักหรือเบามีผลต่อการควบคุมและบังคับรถทั้งสิ้น โดยปกติแล้วความเร็วเดินทางที่ปลอดภัยตอนฝนตกควรอยู่ที่ประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเป็นความเร็วที่สามารถควบคุมรถได้ง่าย
4. ห้ามลืมเปิดไฟหน้าหรือไฟส่องสว่าง ไม่ว่าในจะตกหนักหรือเบาควรเปิดไฟหน้าและไฟท้ายให้สว่างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น รวมไปถึงเป็นการแจ้งตำแหน่งรถของตัวเองให้กับทุกคนได้ทราบอีกด้วย
5. หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีต้นไม้ใหญ่ หากคุณสามารถเลือกเส้นทางได้ ควรหลีกเลี่ยงการขับรถในพื้นที่ที่มีต้นไม้หนาแน่นเพราะมีโอกาสที่กิ่งไม้จะหักตกลงมาใส่รถของคุณจนเกิดความเสียหายร้ายแรงได้ แต่หากไม่มีทางเลือกจริง ๆ จำเป็นต้องใช้เส้นทางที่มีต้นไม้เยอะ การเลือกหยุดรถรอจนกว่าฝนจะซาแล้วค่อยเดินทางต่อไปก็จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากกว่า
6. จอดรถเมื่อฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นทาง แต่หากฝนตกหนักมากจนการเปิดไฟหน้ารถไม่ช่วยให้คุณมองเห็นทางได้อย่างชัดเจน ควรจอดรถเพื่อความปลอดภัย ยิ่งในปัจจุบันมีทั้งจุดพักรถ ปั๊มน้ำมัน จุดจอดรถของหน่วยงานราชการอยู่เป็นจำนวนมากสามารถจอดรถหยุดพักได้ ที่สำคัญไม่ควรจอดรถไว้ริมถนนหรือพื้นที่น้ำหลาก เพราะอาจเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันตามมาได้อีกด้วย
7. ตรวจสอบอุปกรณ์รถยนต์ เมื่อถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การตรวจสอบอุปกรณ์ทุกอย่างให้มีความพร้อมต่อการใช้งานเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะระบบเบรกกับระบบไฟว่ายังคงทำงานได้ดีอยู่มั้ย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการเดินทางครั้งต่อไปนั่นเอง